เมนูนำทาง
นโยบายต่างประเทศของอิหร่าน หลังจาก การปฏิวัติอิสลามอิหร่านอิหร่านหลังจากการปฏิวัติและการจัดตั้งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ได้เปลี่ยนนโยบายด้านความมั่นคงที่เป็นอิสระและพยายามกำหนดยุทธศาสตร์และแนวทางของตนเองไม่อยู่ภายใต้ขั้วอำนาจตะวันออกและขั้วอำนาจตะวันตก โดยเน้นการให้ความร่วมมือกับรัฐบาลต่างๆแถบตะวันออกกลาง ตามลำดับความสำคัญเพื่อกำหนดศักยภาพด้านความมั่นคงในภูมิภาคนี้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่น การยึดสถานทูตอเมริกาในปี 1358, สงครามอิหร่านกับอิรัก,การยิงเครื่องบินโดยสารอิหร่านโดยอเมริกาในปี1367,เรื่องราวของ ซัลมาน รุชดี ,การโจมตีของผู้ก่อการร้ายมิโคนอส,และการลอบวางระเบิดในเอเมีย และโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน คือสาเหตุที่สำคัญที่สุดด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอิหร่านหลังการปฏิวัติในปี 1357 ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์กับประเทศของ สหรัฐอเมริกา และ อิสราเอล จะเป็นอุปสรรคที่สุดในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอิหร่านที่เคยมีมา แต่ความสัมพันธ์ของอิหร่านกับกลุ่มประเทศอิสลาม,ที่ตะวันออกกลางและประเทศเพื่อนบ้านมีการผันแปรอยู่ตลอด การหยุดชะงักชั่วคราวความสัมพันธ์กับซาอุดิอาระเบียหลังจากเหตุการณ์ฮัจญ์ในปี1366 , การขัดแย้งกับประเทศอาหรับเอมิเรตส์ในการเป็นเจ้าของสามเกาะGreater and Lesser Tunbs ,และเกาะอบูมูซา ความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่กับ บาห์เรน ในการใส่ร้ายของบาห์เรนว่าอิหร่านให้การสนับสนุนกลุ่มชีอะฮ์ที่ไม่พอใจต่อประเทศ, การตัดความสัมพันธ์กับอียิปต์ในการสนับสนุนของอิหร่านต่อการกระทำของคอลิด อิสลามบุรี, ความสัมพันธ์ฮึมครึมกับ คูเวต เนื่องจากสงครามอิหร่านกับอิรัก,ความสัมพันธ์ที่ฮึมครึมกับจอแดน, การประท้วงต่อต้านพฤติกรรมการปราบปรามของรัฐบาลเยเมนกับชีอะฮ์ในเยเมน ซึ่งในที่สุดจบด้วยการขัดแย้งในเยเมน
อิหร่านมองรัสเซียจีนซีเรีย และเวเนซุเอลาเป็นพันธมิตรที่สำคัญที่สุด นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มต่างๆ เช่น ฮิซบุลเลาะห์ ,ฮามาส, และขบวนการต่อสู้เฮาษี
หลังจากการล่มสลายของตอลิบานและพรรคบาธของอิรักซึ่งเป็นสองศัตรูอันตรายต่อสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน อิหร่านสามารถขยายความสัมพันธ์เข้าสู่ประเทศทั้งสองเนื่องจากช่องว่างต่างๆของศัตรู และในระยะยาวก็จะเป็นผู้ชนะในที่สุดเหนือการรุกคืบของทหารอเมริกาในประเทศอัฟกานิสถานและอิรัก ด้วยเหตุผลที่ว่า หลังจากเวลาผ่านไปกองกำลังต่างชาติจำเป็นที่จะต้องออกจากประเทศนั้นๆ แต่ว่าอิหร่านเท่านั้นที่จะอยู่เคียงข้างกับประเทศต่างๆเหล่านั้น และสามารถมีอิทพลในประเทศเหล่านั้นได้
ด้วยการบริหารรัฐบาลชุดที่เก้าของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านภายใต้การเป็นผู้นำของ มะฮ์มูด อะฮ์มะดีนิญาด ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญกับนโยบายต่างประเทศของอิหร่าน การเปลี่ยนเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติสูงสุด จาก ฮาซันรูฮานี เป็น อาลีลอเลยอนี และจากนั้นเป็นซาอีด ญะลีลี และการโยกย้ายตำแหน่งของทูตอิหร่านในหลายประเทศเป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ และเช่นเดียวกันการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลต่อแนวโน้มความสัมพันธ์กับประเทศละติน อเมริกาและเอเซียตะวันออกแทนประเทศต่างๆของยุโรป
หลังจากที่เกิดเหตุการอาหรับสปริงขึ้นในต้นปีของ 2011 และการลดลงของโครงสร้างหรือการล้มล้างรัฐบาลเผด็จการส่วนใหญ่ที่ได้รับการช่วยเหลือจากอเมริกาในประเทศเหล่านั้น อิหร่านพยายามที่จะใช้โอกาศนี้ในการใช้ประโยชน์และเสริมสร้างความแข็งแกร่งกับผู้ที่ช่วยเหลือและผู้สนับสนุนในเอเซียตะวันตกและแอฟริกาเหนือ ปัจจุบัน อิหร่านประสบความสำเร็จตามเป้าหมายในระดับหนึ่ง ในการลุกขึ้นต่อสู้ของประชาชน
ขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางทฤษฏีในกฏหมายของ สาธารณรัฐอิสลาม นโยบายหลักด้านต่างประเทศของอิหร่านขึ้นอยู่กับหลักการเหล่านี้"[1]
เมนูนำทาง
นโยบายต่างประเทศของอิหร่าน หลังจาก การปฏิวัติอิสลามอิหร่านใกล้เคียง
นโยบายการขอรับลงตราของประเทศไทย นโยบายไวต์ออสเตรเลีย นโยบายพลังงานแห่งชาติปากีสถาน นโยบายสาธารณะ นโยบายการเงิน นโยบายการขอรับลงตราของประเทศลาว นโยบายต่างประเทศของอิหร่าน นโยบายเศรษฐกิจ นโยบายจีนเดียว นโยบายการคลังแหล่งที่มา
WikiPedia: นโยบายต่างประเทศของอิหร่าน http://www.irdiplomacy.ir/index.php?Lang=fa&Page=2... http://www.irdiplomacy.ir/index.php?Lang=fa&Page=2... http://www.hamshahri.org/news-83607.aspx